หลุมสิว เป็นปัญหากวนใจที่หลายๆคนต้องเจอ หลังจากสิวที่อักเสบยุบตัวลงแล้ว ก็มักจะทิ้งรอยดำ หลุมสิว มากน้อยต่างกันไป แต่สิ่งที่รู้สึกตรงกันก็คือหลุมสิวเหล่านี้พอมีเยอะขึ้น ก็จะทำให้ผิวหน้าเราดูขรุขระ ไม่เรียบเนียน การที่จะให้เนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นหลุมสิวกลับมาเต็มตื้นเหมือนเดิมนั้น ใช้ระยะเวลานานมาก หรือบางคนก็อาจจะไม่หายเลยวิธีแก้ไขคือหลังเป็นให้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ตัวช่วยที่จะเร่งให้เซลล์เนื้อเยื่อใหม่ฟื้นฟู และทำให้หลุมสิวเต็มตื้นขึ้นมาได้ คือ “Scarlet Laser” เลเซอร์หลุมสิว นั่นเอง
การเลเซอร์หลุมสิวด้วยเครื่อง Scarlet Laser คืออะไร ?
เป็นเครื่องที่รวมเอา 2 เทคโนโลยีมารวมกัน คือ การปล่อยคลื่นวิทยุ Radio frequency (RF) และ Microneedle therapy ซึ่ง Microneedle ของ scarlet จะเป็นหัวที่เต็มไปด้วยเข็มขนาดเล็กมาก ทำหน้าที่เป็นตัวนำคลื่นวิทยุ RF ให้ลงไปสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป การเลเซอร์หลุมสิวด้วย Scarlet laser จะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และทำให้ผิวกระชับขึ้นด้วย ในกรณีที่มีปัญหาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง รอยสิว ก็สามารถช่วยให้ผิวเต็มตื้น เรียบเนียนขึ้น เป็นการฟื้นฟูผิวไปในคราวเดียว โดยแพทย์สามารถเลือกปรับระดับความลึกของเข็มให้เหมาะกับปัญหาของแต่ละคนได้
Scarlet Laser (เลเซอร์หลุมสิว) ดีกว่า RF รุ่นเก่าอย่างไร?
ตัวเข็มที่ลงไปใต้ผิวจะเป็นตัวนำคลื่นลงไปใต้ชั้นผิว ซึ่งสามารถลงได้ถึงกว่าทั่วไป ทำให้มีประสิทธิภาพกว่า เห็นผลดีกว่า ทีสำคัญความเสียหายของผิวหนัง และผลข้างเคียงน้อย
ช่วงความลึกของการเจาะเข็มอยู่ที่ 0.5 มิลลิเมตรถึง 3.5 มิลลิเมตร
ทำให้แพทย์สามารถควบคุมพลังงานตามปัญหาของแต่ละเคสอย่างเหมาะสม
รักษาหลุมสิวด้วย Scarlet Laser ใช้เวลานานไหม ?
ในการทำ Scarlet Laser (เลเซอร์หลุมสิว) แต่ละครั้ง จะมีการแปะยาชาก่อน 30-45 นาที และจะใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 30 นาที
เลเซอร์หลุมสิวต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ?
การทำ Scarlet Laser (เลเซอร์หลุมสิว) สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะให้ชัดเจนแนะนำทำต่อเนื่อง 3 ครั้งขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิม และความหนักเบาของปัญหาที่เป็นด้วย ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งเว้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
ผู้ที่เหมาะกับการทำ Scarlet Laser (เลเซอร์หลุมสิว) ?
มีแผลเป็นลึก
เป็นลักษณะแผลเป็นที่พบได้ทั่วไปจากสิว, การบีบสิว, รอยบาดเล็กๆน้อยๆ และการผ่าตัด แผลเป็นแบบลึก
มีหลุมสิว รอยสิว
หลุมสิว เกิดจาก สิวอักเสบ ที่เกิดขึ้นและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ทำให้เกิดโพรงหนอง เกิดการยุบตัวของผิว ลุกลามจนกินเนื้อใน ถึงขั้นทำให้เนื้อหายจนกลายเป็นหลุมได้
มีรูขุมขนกว้าง
ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดรูขุมขนกว้าง เพราะจะเกิดการขยายของรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกว้างได้
มีริ้วรอยเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย
เมื่อเราอายุมากขึ้นการผลิตน้ำมัน คอลลาเจน และความยืดหยุ่นตามธรรมชาติจะลดลง ทิ้งให้ผิวแห้งขึ้น บางขึ้นและ ยืดหยุ่นได้น้อยลง ไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังจะเริ่มลดลง เป็นสาเหตุให้ผิวหย่อนคล้อย
ผลลัพธ์ที่ได้จากการเลเซอร์หลุมสิว ด้วย Scarlet Laser อย่างต่อเนื่อง ?
- รักษาหลุมสิว รอยแผลเป็น ให้กลับมาเต็มตื้น
เป็นการกระตุ้นให้ผิวเราเกิดการฟื้นฟูตัวเองเร็วขึ้น และทำให้หลุมสิวเต็มตื้นขึ้นได้ - ฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากชั้นใต้ผิว
Microneedle ของ scarlet เป็นเข็มที่เล็กมาก ๆ 25 เข็ม ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวนำคลื่นวิทยุ Radio frequency (RF) และ Microneedle therapy ให้ลงไปสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน คอลลาเจนในชั้นผิวมีสามารถช่วยทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นจางลงได้ - ริ้วรอยให้ตื้นขึ้น ผิวยกกระชับขึ้น
คลื่นวิทยุ Radio frequency (RF) และ Microneedle therapy ที่จะถูกส่งผ่านจากผิวชั้นนอกเข้าสู่ผิวชั้นใน จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนและเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ผิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ผิวหน้ากระชับเต่งตึง - กระชับรูขุมขน ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
คลื่นวิทยุ Radio frequency (RF) จะทำให้ เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนให้มีการสร้างใหม่ ทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึง อ่อนเยาว์มากขึ้น รูขุมขนดูเล็กลง - รอยดำ รอยแดงจากสิวจางลง ผิวหน้ากระจ่างใส
การปล่อยคลื่นวิทยุ Radio frequency (RF) และ Microneedle therapy ยังช่วยในการรักษาริ้วรอย และจุดด่างดำ รอยดำ แดงจากสิวอีกด้วย
การดูแลตัวเองหลังทำ Scarlet Laser (เลเซอร์หลุมสิว) ?
หลังการรักษาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ จะมีอาการบวมแดงโดยประมาณ 1-3 ชม. แรก หลังจากนั้นจะมีสะเก็ดบางๆขึ้นและค่อยๆหลุดไปเอง และจะเห็นได้ว่าผิวหน้าใสขึ้น ดูเรียบเนียนขึ้น ทั้งนี้อยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย
การรักษาหลุมสิว หรือรอยแผลเป็นที่ดีที่สุด คือการรักษาตั้งแต่ช่วงที่แปลเพิ่งเป็นใหม่ๆ เพราะบริเวณผังผืดโดยรอบจะยังไม่แข็งมาก ทำให้ผลการรักษาดีกว่าแผลเก่า หรือแผลที่เป็นมานานแล้ว ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อที่จะแพทย์จะได้ประเมินการรักษา และแนะนำวิธีแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด