เวลาจะทำศัลยกรรมนอกจากจะหาข้อมูลในเรื่องของ ชื่อเสียงของแพทย์ ผลงานของแพทย์แล้ว ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่น้อย นั่นก็คือเรื่องของ ‘ไหมที่ใช้เย็บแผล’ และเรื่องของ ‘รอยแผล’ นั่นเอง คนไข้ทำตาสองชั้นที่คลินิกมักจะถามเข้ามากันเยอะมากว่าทำไมไม่ใช้ไหมละลายในการเย็บแผล บทความนี้จะอธิบายถึงข้อดี-ข้อเสียของ ไหมทั้ง 2 ประเภท ว่าแตกต่างกันอย่างไร และไหมเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้แผลออกมาสวยด้วยหรือเปล่า
ประเภทของไหมเย็บแผล
ปัจจุบันจะมีไหมอยู่ 2 ประเภท คือไหมไม่ละลาย และไหมละลาย ซึ่งศัลยแพทย์จะเป็นคนพิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับจุดที่เราทำการศัลยกรรมและความถนัดของแพทย์ด้วย
1. ไหมไม่ละลาย
เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายหายไปเองได้ ต้องกลับมาตัดไหมอีกที มีทั้งแบบทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ และแบบสังเคราะห์ขึ้น
2. ไหมละลาย
ไหมที่สามารถละลายหายไปได้เองในร่างกายของมนุษย์ โดยไม่ต้องกลับมาตัดไหมอีก มีทั้งแบบทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ และแบบสังเคราะห์ขึ้น
ข้อดี – ข้อเสียของไหมทั้งสองประเภท
ในการทำศัลยกรรมตาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะศัลยกรรมตา แพทย์มักจะเลือกใช้ไหมไม่ละลายในการเย็บแผล เพราะมีความแข็งแรงสามารถดึงรั้งได้ดี และเพื่อให้คนไข้ได้กลับมาติดตามผลในวันที่ตัดไหมกับแพทย์ ไหมทั้ง 2 ประเภท มีข้อดี และข้อเสีย แตกต่างกันไป เรามาดูข้อดีกันเลยค่ะ
ไหมไม่ละลาย
ข้อดีของไหมไม่ละลาย
– ตัวไหมมีความแข็งแรง และยืดหยุ่นได้สูง
– หลังทำไป 5-7 วันก็กลับมาตัดไหมออกไปแล้ว ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อไหมน้อยมาก จึงทำให้แผลสมานเร็ว เรียบกว่า ลดโอกาสเกิดแผลเป็นนูน น้อยกว่าด้วย
ข้อเสียของไหมไม่ละลาย
– คนไข้ต้องกลับมาตัดไหม
ไหมละลาย
ข้อดีของไหมละลาย
-ตัวไหมสามารถละลาย สลายไปได้เองตามธรรมชาติ
– คนไข้ไม่ต้องกลับมาตัดไหม (ในบางรายที่คนไข้อยู่ต่างจังหวัดหรือต้องไปต่างประเทศอาจจะไม่สะดวกที่จะกลับมาตัดไหมในวัน เวลาที่คลินิกนัด)
– ตัวเส้นไหมจะมีความนิ่มกว่า ทำให้ไม่ค่อยมีอาการระคายเคือง
ข้อเสียของไหมละลาย
กว่าตัวไหมจะค่อยๆสลายไปใช้เวลานานถึง 3-4 สัปดาห์ และบางชนิดใช้เวลาละลาย2 เดือน ไม่ได้ละลายเร็ว มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาต่อแผลได้นาน ทำให้โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นนูนจากปฎิกิริยาต่อไหมนั้นจะมีมากกว่า
– การเย็บแผลด้วยไหมละลาย แพทย์จะต้องซ่อนปมไหมไว้ใต้ชั้นผิว ซึ่งถ้าแผลมีเชื้อโรคก็อาจจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่า
– เมื่อคนไข้ไม่ได้กลับมาตัดไหม ก็อาจจะทำให้ไม่ได้กลับมาติดตามผลหลังทำกับแพทย์อีก
– ในช่วงเวลาที่ไหมกำลังจะสลาย บางคนอาจจะเห็นบริเวณแผลเป็นลักษณะเหมือนมีเยือขาวๆ คนไข้มักเกิดความรู้สึกกังวลว่าเป็นอาการที่ผิดปกติ
ภาพหลังตัดไหมตาสองชั้น โดยใช้ไหมไม่ละลายในการเย็บแผล
inZ Clinic ใช้ไหมอะไรในการเย็บแผล?
inZ Clinic ใช้ไหมแบบไม่ละลายในการเย็บแผลทำตาสองชั้น แต่เป็นไหมชนิดพิเศษกว่าที่ใช้กันทั่วๆไป คือมีขนาดที่เล็กและบางมาก ถ้าให้เปรียบเทียบก็กล่าวได้ว่าขนาดของไหมเล็กกว่าเส้นขนตามนุษย์ แต่มีความแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นที่สูงมาก ทำให้รอยแผลละเอียดเรียบเนียน สามารถช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นนูน หรือที่เรียกกันว่า คีลอยด์ ซึ่งหลังจากการผ่าตัดทำตาสองชั้นไป ทางคลินิกจะนัดคนไข้กลับมาตัดไหมนับจากวันที่ผ่าตัดไปเพียง 5-7 วัน แต่หากเป็นไหมละลายกว่าจะสลายต้องรอ 3-4 สัปดาห์ โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นนูนจากปฏิกิริยาต่อไหมนั้นจะมีมากกว่า
ทำไม inz clinic จึงไม่ใช่ไหมละลายในการเย็บแผล
อย่างที่อธิบายไปในส่วน ข้อดี และข้อเสียของไหมทั้ง 2 ประเภท เนื่องจาก inZ Clinic ให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยงามและรอยแผล แพทย์จึงเลือกใช้ไหมที่ไม่ละลายเนื่องจากตัวไหมจะเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นนูนน้อยกว่า และที่สำคัญคือในวันตัดไหมแพทย์จะได้พบคนไข้เพื่อติดตามผลได้อีกด้วย
แผลทำตาสองชั้นหลังตัดไหมจะมีลักษณะอย่างไร
ส่วนมากช่วง 1-3 เดือนแรกหลังทำคนไข้อาจจะเห็นแผลลักษณะเป็นรอยสีแดงๆอยู่ ผิวบริเวณแผลอาจจะยังดูขรุขระไม่ค่อยเรียบ ซึ่งเป็นอาการปกติตามกลไกธรรมชาติของร่างกายที่กำลังสมานแผล ในช่วง 4-6 เดือนต่อมา รอยแผลจะเริ่มจางเป็นเส้นสีขาวๆอ่อนกว่าสีผิวปกติ และผิวที่ขรุขระจะกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม ซึ่งแต่ละบุคคลอาจจะหายเร็วหรือช้าแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิว การดูแลตัวเองหลังทำตาสองชั้น การดูแลรักษาบริเวณแผล และการใช้ชีวิตประจำวันด้วยนะคะ
คนไข้บางคนหลังทำตาไปช่วงแรกๆเห็นรอยแผลนูนๆขึ้นมา อาจจะกังวลว่าลักษณะแบบนี้จะเป็นแผลคีลอยด์หรือเปล่า ในส่วนนี้จะอธิบายว่า ช่วงแรกแผลจะนูนๆยังไม่เรียบแต่กดแล้วนิ่มจะไม่ใช่ลักษณะของคีลอยด์ แต่หากผ่านไป 1 เดือนแล้วบริเวณรอยแผลเป็นรอยนูนกดแล้วแข็งๆ อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคีลอยด์ ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะคนไข้สามารถฉีดยาเพื่อให้ตัวแผลนูนยุบลงไปได้ค่ะ
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้หลังตัดไหมที่ตาไปแล้ว
หลังตัดไหมไปแล้วคนไข้อาจจะพบเจอกับอาการบางอย่างที่ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อตาเราไหม หรือสิ่งนี้จะหายไปไหม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเลยค่ะ
- อาการบวมของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนบวมมาก บางคนบวมน้อย ในวันตัดไหมแผลของเรายังมีความบอบช้ำ ด้วยความบวมของแผลที่ยังมีอยู่อาจจะทำให้ไหมบางตัวถูกกดทับปิดไหมได้ ซึ่งตอนตัดไหมเจ้าหน้าที่จะพยายามไม่ไปแยกแผลมาก แต่พอแผลยุบบวมเยอะขึ้นแล้วอาจจะมีไหมที่ถูกกดทับจากความบวมโผล่ให้เราเห็น เราก็สามารถเข้ามาตัดไหมได้ค่ะ ซึ่งไม่ได้ผิดปกติหรือส่งผลอันตรายใดๆ เลย
- หลังตัดไหมไปแล้วอาจจะสังเกตเห็นรอยแผลที่บริเวณเปลือกตาเป็นเส้น หรือยังมีความแดงอยู่บ้าง ซึ่งแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกันอีก แต่ทั้งนี้รอยแผลสีแดงที่คนไข้เห็นนี้เกิดจากกลไกของร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงสมานแผลอยู่ หากคนไข้ดูแลรักษาแผลตามที่แพทย์แนะนำจะค่อยๆเห็นรอยแผลจางลงไปเรื่อยๆจนแทบไม่เห็นมองไม่เห็นรอย
ดูแลตัวเองหลังจากการตัดไหมอย่างไร
หลังตัดไหมแผลสามารถโดนน้ำได้ ล้างหน้าสระผมเองได้ตามปกติ เรื่องแต่งหน้า แต่งหน้าปัดแก้มได้แต่ตาอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยแต่งตาได้นะคะเพราะว่าหลังตัดไหมจะมีรูไหมเล็กๆที่เราตัดออกไปถ้าเรารีบแต่งตาเลยเดี๋ยวเครื่องสำอางค์จะเข้าไปอุดตันได้ง่ายจึงไม่อยากให้รีบแต่งตานะคะ
- หมั่นทายาแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้รอยแผลเรียบเนียนและจางหายไปได้ไว้ขึ้น
- ช่วงแรกหลังจากตัดไหมไปยังถือเป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างการยุบบวมอยู่ ตาทั้งสองข้างอาจจะยังยุบบวมไม่เท่ากันนัก ซึ่งเป็นอาการปกติปกติ ต้องใช้เวลากว่าจะเข้าที่
- งดอาหารหมักดอง ของแสลง อาหารทะเล รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ เพราะร่างกายบางคนแพ้ หรืออาจไม่รู้ตัวว่าแพ้ อาจจะส่งผลทำให้ตาบวมขึ้นมาอีกได้ ดังนั้นควรรอให้ครบ 1 เดือน หลังจากทำตาไปแล้วค่อยรับประทานจะส่งผลดีต่อคนไข้มากกว่า
หลังจากอ่านบทความแล้วคนไข้คงจะทราบแล้วว่าเรื่องของไหมที่ใช้ในการเย็บแผล ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญกับรอยแผลในการทำตาสองชั้นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามคนไข้ก็ต้องให้ความใส่ใจกับการดูแลแผลด้วย ทั้งในเรื่องของการรักษาความสะอาดบริเวณแผล การทายาลดรอยแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้รอยแผลเรียบเนียนและจางหายไปได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญอย่าลืมเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ แพทย์ที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัด เผื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ