ในปัจจุบันชีวิตเราไม่ว่าจะการทำงาน หรือเวลาว่าง ก็มักจะใช้สายตาอยู่กับหน้าจอตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นหน้าจอโทรศัพท์ การใช้สายตามากเกินไปนั้นส่งผลเสียได้หลายอย่าง และยังเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงทำให้เป็น ‘โรคตาแห้ง’ ได้อีกด้วย หลายๆคนคงอยากทราบแล้วว่าโรคตาแห้งคืออะไร อันตรายมากน้อยแค่ไหน ในบทความนี้เรามาทำความรู้จักกับ โรคตาแห้งกันดีกว่าค่ะ
โรคตาแห้งมีสาเหตุมาจากอะไร?
โรคตาแห้งสามารถเป็นได้จากหลายสาเหตุ อาจจะเป็นที่ความผิดปกติของร่างกาย หรือเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน และสามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย
สภาพแวดล้อมและพฤติกรรม
สภาพแวดล้อมรอบตัวเราและพฤติกรรมการใช้สายตาก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตาแห้งได้ เช่น การอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ อยู่ในพื้นที่ที่ความชื้นในอากาศต่ำ การเผชิญกับแสงแดดและลมแรงเป็นประจำ รวมถึงพฤติกรรมการใช้สายตาอย่างการอ่านหนังสือ การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นระยะเวลานาน
ร่างกายผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ
การที่ร่างกายของเราผลิตน้ำตาไม่มากพอที่จะหล่อเลี้ยงผิวตา เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาแห้ง และอาจทำให้เกิดการอักเสบร่วมด้วย แต่สาเหตุนี้พบเจอได้ไม่มาก
น้ำตาที่ผลิตออกมามีคุณภาพไม่เพียงพอ
เมื่อน้ำตาที่ผลิตออกมาไม่มีคุณภาพมากพอหรือเกิดการอุดตันที่ต่อมไขมันตา จะทำให้น้ำตาระเหยค่อนข้างเร็ว โดยสาเหตุนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย และพบมากในกลุ่มคนวัยทำงาน
การใส่คอนแทคเลนส์
นอกจากคอนแทคเลนส์จะทำให้ออกซิเจนในดวงตาของเราลดลงแล้ว ยังดึงน้ำในตาของเราออกมาอีกด้วย ทำให้ในตอนที่เราใส่คอนแทคเลนส์เป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้เกิดภาวะตาแห้งและอาจก่อให้เกิดอาการเคืองตา แสบตา ทางที่ดีไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์นานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
เคยทำเลสิก หรือการผ่าตัดแก้ไขสายตา
หากผ่านการทำเลสิกมา ผู้เข้ารับการรักษาบางรายอาจเกิดอาการข้างเคียง นั่นก็คือ ภาวะตาแห้ง เนื่องจากกระจกตาถูกรบกวน ส่งผลให้ร่างกายผลิตน้ำตาในปริมาณที่ลดลง
ลักษณะอาการของโรคตาแห้ง
อาการตาแห้งทั่วๆไปมีตั้งแต่เป็นน้อยมาก ไปจนถึงเป็นมาก เป็นน้อยคือแทบจะไม้รู้ว่าเป็น จนเริ่มเป็นในระดับนึงก็จะรู้สึกว่ามีอาการเคืองตาในช่วงที่ใช้สายตาเยอะ หรือช่วงออกแดด ถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจะทำให้รู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายอยู่ในตา ถ้าเป็นมากๆจะทำให้เกิดการถลอก มีจุดที่กระจกตา ส่งผลให้ตามัวได้ ตาแห้งจะมีลักษณะอาการ ดังนี้
• ระคายเคืองตา คันตา แสบตา
• รู้สึกปวดหัว ปวดตา
• รู้สึกฝืดหรือไม่สบายตาเมื่อตอนตื่นนอน
• รู้สึกเหมือนเม็ดทรายหรือฝุ่นอยู่ในตา
• ตาสู้แสงไม่ค่อยได้
• มีอาการตาพร่ามัวเป็นบางครั้ง
• น้ำตาไหล
• มีขี้ตาเป็นเมือกเหนียว
โรคตาแห้งอันตรายแค่ไหน
โรคตาแห้ง ถ้าเป็นน้อยไม่ค่อยจะมีปัญหาอะไรในระยะยาว สามารถใช้น้ำตาเทียมได้ในเวลาทีเคืองตาหรือตามัวๆ แต่ถ้าเป็นมากรู้สึกตาแห้งมาก อย่างบางคนใส่คอนแทคเลนส์นานๆหรือเป็นภูมิแพ้ขึ้นตา จะทำให้อาการตาแห้งเป็นมากขึ้น และทำให้กระจกตาเป็นรอย
โรคตาแห้งส่งผลกระทบให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง เมื่อเราใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีอาการแสบตา เคืองตาได้ง่ายกว่าปกติ บางทีตาอาจพร่ามัวมองภาพไม่ชัดเป็นระยะ
ในเคสที่มีภาวะตาแห้งมากๆ เมื่อเกิดแผลที่กระจกตาอาจจะส่งผลกับการมองเห็นในอนาคต อาจเกิดตามัวแบบถาวร หรืออาจมีภาวะแทรกซ้อนทำให้ตาบอดได้
วิธีการดูแลและป้องกันอาการตาแห้ง
สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้สายตาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนนานๆ สามารถใช้หลักการง่ายๆในการป้องกันอาการตาแห้ง เรียกว่า “หลักการ 20 : 20 : 20” ทุกๆ 20 นาที ที่เรามีการใช้สายตา อย่างเช่นนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้เราพักสายตาโดยการมองออกไปที่อื่นที่ไกลออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต โดยใช้เวลาพักสายตาเป็นระยะเวลาประมาณ 20 วินาที จะช่วยพักสายตา ลดความเครียด พักการล้าของตา และยังช่วยลดอาการตาแห้งอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆที่สามารถช่วยได้ เช่น
- กะพริบตาบ่อยๆ ให้มีน้ำตาเคลือบตาตลอดเวลา
- หยอดน้ำตาเทียม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา
- ใส่คอนแทคเลนส์ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน เพราะตัวคอนแทคเลนส์จะดึงน้ำในตาของเราออกมาเพื่อให้คอนแทคเลนส์สามารถคงความใสอยู่
- หากต้องอยู่ในที่ๆมีฝุ่น มีลมพัดแรง อากาศแห้ง แนะนำให้ใส่แว่นกันแดด
- ทำความสะอาดเปลือกตา และสิ่งสกปรกบริเวณรอบดวงตา หากมีขี้ตาสิ่งสกปรกต่างๆจะไปเกาะบริเวณขนตา จะอุดต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาอาจส่งผลให้เกิดการตาแห้งได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสายตา
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนไม่พอ หรือหลับไม่สนิท อาจส่งผลต่อร่างกายทำให้การสร้างน้ำตาลดลงได้
ทั้งนี้หากใครที่ต้องอยู่กับหน้าจอทั้งวัน อาจจะต้องเลือกใช้คอมพิวเตอร์ที่หน้าจอไม่เล็กจนเกินไป ดวงตาของเราจะได้ไม่ต้องเกิดการเพ่ง รวมไปถึงการใช้แว่นตาที่ช่วยกรองแสงสีฟ้าก็สามารถช่วยถนอมสายตา และลดอาการตาแห้งได้ในระดับนึงเหมือนกันค่ะ
อาการเคืองตาหลังทำตาสองชั้น คือโรคตาแห้งหรือเปล่า?
การทำตาสองชั้นธรรมดา ไม่ได้มีผลโดยตรงที่จะทำให้ตาแห้ง เว้นแต่มีการผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซึ่งหลังผ่าตัดควรมีการดูแลแผลไม่ให้โดนน้ำ บางทีการทำความสะอาดแผลบริเวณเปลือกตาบางคนจะเห็นว่ามีขี้ตาแห้งอยู่บริเวณเปลือกตา ตรงนี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาแห้งเนื่องจากขี้ตาหรือเศษต่างๆจะไปเกาะบริเวณขนตา ทำให้อุดตัวต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา จะกระตุ้นให้เกิดอาการตาแห้งมากขึ้น
โรคตาแห้งรักษาอย่างไรได้บ้าง?
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าโรคตาแห้งมีทั้งแบบรุนแรง และไม่รุนแรง ในกรณีที่ไม่ได้รุนแรงสามารถใช้การหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาได้ จะสามารถบรรเทาอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา ในกรณีที่เป็นรุนแรงต้องปรึกษาปรึกษาจักษุแพทย์ อาจมีการรักษาด้วยการใช้ยาซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยตามความเหมาะสมของอาการ นอกจากนี้คนไข้ควรลดการใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน รวมไปถึงรู้จักป้องกันและดูแลถนอมดวงตาตามคำแนะนำในบทความนี้ ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้เกิดอาการตาแห้งนี้ได้ค่ะ
การใช้น้ำตาเทียม กับอาการตาแห้ง
น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ดวงตา การใช้น้ำตาเทียมเพื่อหยอดตาสามารถช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้นได้ น้ำตาเทียมจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่มีสารกันเสีย และประเภทที่ไม่มีสารกันเสีย
1. รูปแบบขวด น้ำตาเทียมชนิดที่เป็นขวดหลังจากเปิดขวดแล้วจะใช้ได้ประมาณ 1 เดือน สามารถใช้หยอดตาได้วันละประมาณ 4-5 ครั้ง
2. ชนิดรายวัน น้ำตาเทียมชนิดนี้ไม่มีสารกันเสีย ที่บรรจุในหลอดบรรจุขนาดเล็ก หลังจากเปิดสามารถใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ตัวนี้สามารถหยอดได้เรื่อยๆเมื่อมีอาการ ไม่ได้จำกัดการใช้
น้ำตาเทียมยังมีอีกหลากหลายชนิดตามสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบ คุณสมบัติจะเหมาะกับความรุนแรงของภาวะตาแห้งและสาเหตุที่แตกต่างกันไป น้ำตาเทียมแต่ละชนิดสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ต่อให้ใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ ก็ไม่มีผลทำให้การผลิตน้ำตาตามธรรมชาติลดลง แต่มีข้อจำกัดในการใช้บางประการ เช่น ชนิดที่มีสารกันเสียไม่ควรใช้ถี่เกินไป ควรเว้นให้ห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เพราะสารกันเสียไปทำร้ายผิวกระจกตาได้ ส่วนชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย สามารถใช้บ่อยได้ตามความต้องการ เพียงแต่จะมีราคาสูงกว่า
ในช่วงนี้คนที่ต้อง Work From Home ก็ค่อนข้างเยอะ บางทีอยู่แค่หน้าคอมกับสมาร์ทโฟนทั้งวันไม่ไปไหน เราสามารถดูแลถนอมดวงตาของเราง่ายๆด้วยหลักการ 20 : 20 : 20 และหากมีอาการเคืองตาหรือตาแห้งเวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็หยอดน้ำตาเทียมก็สามารถช่วยได้นะคะ อย่าละเลยดวงตาของเรา เพื่อสุขภาพตาที่ดีและถนอมให้ดวงตาของเราเสื่อมสภาพได้ช้าที่สุด ทั้งนี้หากคนไข้มีอาการบ่อยๆ หรืออาการไม่บรรเทาเลย แนะนำไปพบจักษุแพทย์เพื่อให้ทำการตรวจวินิจฉัยได้ถูกต้องนะคะ