เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆในร่างกายก็อาจเกิดการเสื่อมสภาพลง และทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นมาได้ เช่นเดียวกันกับดวงตาของเรา หากเราไม่รักษาสุขภาพดวงตาของเราเท่าที่ควรก็อาจทำให้เกิดโรคตาได้ สำหรับโรคตาที่อันตราย และ พบมากในผู้สูงอายุก็คือ โรคต้อหิน และ โรคต้อกระจก แต่ก็ใช่ว่าอายุน้อยๆจะเป็นไม่ได้เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้อีก หากอยากรู้ว่าสองโรคนี้มีความแตกต่างกันยังไงเรามาดูกันเลยค่ะ
โรคต้อหิน
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นหนึ่งในโรคที่อันตรายมากๆหากไม่ทำการรีบรักษาอาจส่งผลร้ายแรงทำให้ตาบอดสนิทได้ เนื่องจากอาการของโรคต้อหินจะทำให้ประสาทตาค่อยๆเสื่อม โดยเริ่มสูญเสียการมองเห็นจากขอบสายตา ทำให้ในช่วงแรกคนไข้ยังเห็นภาพในส่วนกลางลูกตาได้ปกติ จึงเป็นสาเหตุให้ในช่วงแรกคนไข้อาจจะไม่ทราบว่าตนเองมีอาการของโรคต้อหิน หากปล่อยทิ้งไว้ประสาทจะเสื่อมและขยายไปเรื่อยๆ จากที่มองเห็นชัดเจนก็จะมองเห็นภาพได้เล็กลงจนสูญเสียการมองเห็นทั้งหมด และถึงแม้จะได้รับการรักษาแต่ก็จะไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดีดังเดิม
สาเหตุการเกิดต้อหิน
ปัจจัยหลักของการเกิดโรคต้อหินเกิดจากภาวะความดันในตาสูง และ มีอาการเสื่อมของประสาทตา โดยสาเหตุที่ความดันในลูกตาสูงขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากการไหลเวียนของน้ำหล่อลื้นในลูกตานั้นมีความไม่สมดุลกันเนื่องจากการระบายน้ำของลูกตาเกิดการอุดตันและเสื่อมสภาพในบริเวณทางออกของช่องระบายน้ำลูกตาจนทำให้ความดันตาสูงขึ้นนั่นเอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคต้อหิน
- โดยคนที่มีอายุมากกว่าจะมีความเสี่ยงเป็นโรคต้อหินมากกว่าคนที่มีอายุน้อยกว่า โดยจะพบมากที่สุดในคนที่มีช่วงอายุมากกว่า 40 ปี
- มีสมาชิกในครอบครัว หรือ เครือญาติในสายเลือดเดียวกันเป็นโรคต้อหินก็จะมีโอกาสการเป็นโรคต้อหินสูงขึ้นจากพันธุกรรมมากกว่าคนทั่วไป
- มีระดับความดันตาค่อนข้างสูง หรือ สูงมากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่มีความดันตาค่อนข้างต่ำ หรืออยู่ในช่วงเกณฑ์ปกติ
- ผู้ไข้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันสูง และ โรคหัวใจ เนื่องจากเสี่ยงมีความผิดปกติของเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงขั้วประสาทตาจึงอาจทำให้เป็นโรคต้อหินได้
- มีโรคทางตาหรือประสบอุบัติเหตุทางตามาก่อน เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้
- ใช้สารหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
อาการโรคต้อหิน
โดยอาการต้อหินส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ หรือ สัญญาณให้เห็นอย่างเด่นชัดในระยะแรก โดยส่วนมากจะค่อยๆเริ่มสูญเสียการมองเห็นไปทีละส่วน โดยส่วนมากจะใช้เวลา 5 -10 ปี จึงจะสูญเสียการมองเห็นทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาเร็วหรือช้านั้นจะขึ้นอยู่กับว่าตรวจพบต้อหินในระยะที่เท่าไหร่ หากตรวจพบเร็วและทำการควบคุมโรคนี้ไว้ได้ แต่เนื่องจากเมื่อเซลล์ขั้วประสาทตานั้นตายไปแล้วจะไม่สามารถกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้อีกจึงได้เพียงทรงตัวอาการไม่ให้ทรุดลงไว้ได้เท่านั้น แต่หากว่ามาตรวจพบช้าก็จะทำให้ตาบอดชนิดถาวรได้นั่นเอง โดยอาการของโรคนี้ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปแต่ส่วนใหญ่จะมีอาการ
- อาการปวดตา
- อาการตาแดง
- ตามัวลง
- กระจกตาบวม / ขุ่น
- เห็นวงกลมจ้ารอบดวงไฟ
วิธีการรักษาโรคต้อหิน
ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาโรคต้อหินให้หายขาดได้แต่เราก็สามารถควบคุมหรือทรงอาการไว้ไม่ให้แย่ลงกว่าเดิมได้ หากได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ซึ่งเป็นแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านดวงตาโดยเฉพาะ
- การใช้ยา
โดยสามารถใช้ได้ทั้งยาหยอดตา ยารับประทาน และ ยาฉีด - การเลเซอร์
ใช้ระยะเวลาในการรักษาไม่นาน โดยปกติจะใช้ยาควบคู่กันไปด้วย แต่การใช้เลเซอร์นั้นจะมีประสิทธิภาพไม่สูงเท่าการผ่าตัด - การผ่าตัด
การรักษาโดยการผ่าตัดนั้นมีประสิทธิภาพสูง แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อลดความดันตาเท่านั้นซึ่งจะเป็นการควบคุมอาการ ไม่ได้เป็นการรักษาที่หายขาด อีกทั้งการรักษาโรคต้อหินจะขึ้นอยู่กับต้อหินว่าเป็นลักษณะไหนมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
โรคต้อกระจก
เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันลดลง ความเสื่อมสภาพของร่างกายตามระยะเวลา ก็ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุที่อายุ 50 ปีขึ้นไปนั่นก็คือ ความเสื่อมสภาพของเลนส์แก้วตา หรือที่เราเรียกกันว่า ต้อกระจก (Cataracts)
สาเหตุการเกิดต้อกระจก
เกิดจากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของเลนส์แก้วตาที่ขุ่นเป็นฝ้าสีขาว และ มีลักษณะแข็งขึ้น โดยปกตินั้นเลนส์จะมีลักษณะใสสามารถรวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตาได้พอดี แต่หากเกิดต้อกระจกจะทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปในตาได้เหมือนคนทั่วไป จึงทำให้เกิดอาการมองเห็นไม่ชัดเจนหรือมีอาการตามัว หากทิ้งไว้นานๆอาจเกิดภาวะที่กระจกตามัวมากทำให้มองไม่เห็นได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคต้อหิน
- มีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันของมารดาระหว่างตั้งครรภ์
- ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน หรือ โดนฉายรังสีที่บริเวณร่างกาย และ ศีรษะบ่อยๆ
- มีโรคประจำตัวที่อาจไปกระตุ้นทำให้เกิดต้อกระจก เช่น โรคเบาหวาน หรือ ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
- มีโรคทางตาหรือประสบอุบัติเหตุทางตามาก่อน เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้
- ใช้สารหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- ความเสี่ยงที่ได้รับจากพันธุกรรม
อาการโรคต้อกระจก
- มองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัว โดยจะมัวลงอย่างช้าๆ และจะยิ่งมัวมากขึ้นเมื่อโดนแสงแดดจ้า
- อาจมีอาการหนักถึงขั้นปวดศีรษะ ปวดตา
- เห็นภาพซ้อนทับกัน เนื่องจากการหักเหของแสงที่ไปยังจอประสาทตาไม่รวมเป็นจุดเดียวกัน
- มองเห็นสีต่างๆเพี้ยนไปจากเดิม
- เห็นฝ้าสีขาวบริเวณกลางรูม่านตาในกรณีที่ต้อกระจกสุกเต็มที่แล้ว และ เสี่ยงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน อย่างโรคต้อหินได้
วิธีการรักษาโรคต้อกระจก
การรักษาโรคต้อกระจกสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดต้อกระจกเพื่อสามารถนำเลนส์ที่ขุ่นออกมาแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนก็สามารถกลับมามองเห็นได้เป็นปกติ
ไม่ว่าจะโรคต้อหินหรือต้อกระจกต่างก็เป็นโรคที่มีความอันตรายต่อดวงตาของเราสูง หากไม่ดูแลรักษาสุขภาพดวงตาก็อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ฉะนั้นเราควรรักษาสุขภาพดวงตาของเราหากเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปแนะนำให้ตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี หรือสามารถทดสอบการมองเห็นด้วยตนเองได้ โดยการใช้มือปิดตาทีละข้างเพื่อตรวจสอบว่าเรายังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเหมือนเดิมหรือไม่ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานวิตามินอี เอ และ วิตามินซีเพื่อบำรุงสายตา หรือหลีกเลี่ยงการมองแสงแดดจ้าโดยตรงด้วยการสวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันแสงยู ก็ถือเป็นการป้องกันดวงตาของเราได้